:::Italy by Region::: SICILIA

กลับมาอีกครั้งกับ Italy by Region แม้จะห่างหายไปนาน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงคิวของหนึ่งในแคว้นที่เรารักมากที่สุด นั่นก็คือ “Sicilia” หรือ “ซิซิลี” นั่นเอง!

หลายๆ คนอาจจะรู้จักซิซิลีจากหนังมาเฟีย แต่แคว้นเกาะปลายรองเท้าบู้ตซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลีนั้นมีความน่าสนใจมากมายกว่านั้นมากกกก

น่าเสียดายที่ตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ไกลจากเส้นทางฮิตๆ ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้มีโอกาสไปเยือน คนอิตาลีหลายคนก็ชอบมาสารภาพว่าตัวเองก็ยังไม่มีโอกาสไปเที่ยวที่นี่เลยสักครั้ง

ความน่าสนใจของแคว้นนี้คือ นอกจากจะมีธรรมชาติสวยๆ ไม่แพ้แคว้นอื่นๆ ทางใต้ และอาหารการกินที่แสนวิเศษแล้ว เกาะซิซิลี ซึ่งเป็นเกาะใหญ่กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นเป็นที่หมายปองของมหาอำนาจที่อยู่รายล้อมมาตั้งแต่โบราณ

นับพันๆ ปีที่อธิปไตยของซิซิลีถูกเปลี่ยนผ่านไปยังมือของชนชั้นปกครองต่างถิ่น ไม่ว่าจะเป็น กรีก โรมัน ไบแซนไทน์ นอร์มัน เคยอยู่ภายใต้ราชวงศ์จากสเปน ออสเตรีย และ ฝรั่งเศส ก่อนจะถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีในยุครวมชาติ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่องรอยวัฒนธรรมที่หลงเหลือเจือปนผสมผสานกันในรอยเวลานั้นจะทำให้วัฒนธรรมของเกาะซิซิลีมีความน่าสนใจมากมายขนาดไหน

“Amunì!” เป็นภาษาถิ่นแปลว่า Let’s go อย่ารอช้า ตามเรามาทำความรู้จักซิซิลีไปด้วยกันเลยค่ะ

Credit: iStockPhoto/RomanBabakin

Palermo

Capoluogo หรือเมืองหลวงของแคว้น ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ แน่นอนว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริหาร การศึกษา การค้า และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ร่ำรวยทางวัฒนธรรม

“ปาแลร์โม” ถูกก่อร้างสร้างขึ้นเป็นเมืองนับตั้งแต่ 8 ศตวรรษก่อนคริสตกาล โดยชาวฟีนีเชียนที่เป็นชนชาตินักเดินเรือที่มาจากดินแดนทางเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกในปัจจุบัน

ฮวงจุ้ยของเมืองนั้นถือว่าเป็นมงคลเพราะมีทะเลอยู่เบื้องหน้า โดยมีท่าเรือใหญ่โตโอ่อ่าเป็นทางออกสู่ทะเล ด้านหลังและด้านข้างนั้นล้อมด้วยภูเขาทั้งหมด

ใครจะมาปาแลร์โม อย่าได้ประมาทว่าจะเที่ยววันสองวันได้หมด เพราะเมืองนี้มีอะไรให้เปิดหูเปิดตามากมายเหลือเกิน อาทิเช่น

• ในใจกลางเมืองมีทั้ง Palazzo dei Normanni ปราสาทชาวนอร์มันที่เคยเป็นผู้ครองเมืองที่ข้างในมี Cappella Palatino โบสถ์อันประดับด้วยโมเสกมลังมเลืองที่สะท้อนศิลปะแบบอาหรับ-นอร์มัน-ไบแซนไทน์

• โรงละครขนาดใหญ่ 2 โรงในละแวกใกล้เคียงกันอย่าง Teatro Massimo และ Teatro Politeama ตั้งตระหง่านเอาไว้ชื่นชมความงามศิลปะแบบบาโร้ก

• สายหลอนต้องไป Catacombe dei Cappuccini ที่มีสุสานมัมมี่พระฝรั่ง ยืนเรียงกันเป็นพรืดให้เราปลงสังขารไปด้วยขนลุกไปด้วย

• ผู้รักการกินควรไปชมตลาด Vucciria หรือ Mercato del Capo ฟังคนท้องถิ่นตะโกนขายของล้งเล้งไปด้วย เลือกชมเลือกชิมอาหารสดใหม่ละลานตาน่าลองไปทุกอย่าง

• เดินชมเมืองร้อนๆ ร่างกายต้องการน้ำทะเลก็แค่ไปหาด Mondello ชมวิลล่าแบบลิเบอร์ตี้สไตล์เรียงรายในย่านคนรวย หย่อนใจบนชายหาดที่ขนาบข้างด้วยภูเขา Monte Pellegrino จุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมือง

Credit: iStockPhoto/leonori

Cefalù

เมืองเล็กๆ ริมทะเลที่ติดอันดับ “เมืองน่ารักที่สุดในอิตาลี” มาแล้วหลายโพลหลายสำนัก “เชฟาลุ” มีจุดเด่นที่ชายหาดยาวที่โค้งรับวิวอันชวนฝันที่ประกอบไปด้วย Cattedrale หรือโบสถ์แบบนอร์มันสูงตระหง่านเหนือหมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเล และภูเขา Rocca di Cefalù

กิจกรรมที่ต้องทำในเชฟาลุ นอกจากเล่นน้ำให้เย็นใจแล้ว คือการเดินเล่นในตรอกซอกซอยเล็กๆ ของเมืองที่สร้างตามแบบ borgo ยุคกลาง (ระหว่างทางอย่าลืมมองหาที่อาบน้ำยุคโรมันที่ซ่อนอยู่ใต้ดินด้วย)

หรือใครที่กำลังขาดีหน่อยก็จะชวนเดิน hiking ขึ้นไปบน Castello della Rocca ชมวิวเมืองจากจุดสูงสุดท่ามกลางซากปรักหักพังของปราสาทเก่า

ใครเห็นรูปที่เราเอามาลงแล้วรู้สึกคุ้นๆ แต่เอ๊ะ เราก็ยังไม่เคยไป อาจเป็นไปได้ว่าคุณเคยเห็นเมืองนี้จากหนังเรื่อง Cinema Paradiso ที่เคยใช้เชฟาลุเป็นสถานที่ถ่ายทำนั่นเอง

Credit: iStockPhoto/Stefan_Alfonso

Taormina

ขยับไปทางขวาบนแผนที่อีกหน่อย บนชายฝั่งด้านที่หันหน้าเข้าหาแผ่นดินใหญ่ ท่านจะได้พบกับเมืองเล็กๆ ในฝันอีกเมืองคือ “ตาออร์มิน่า”

เป้าหมายหลักของใครก็ตามที่รอนแรมมาถึงเมืองนี้คงเป็นเพราะอยากมาชมความงามของ Teatro Greco โรงละครแบบกรีก (แต่สร้างในยุคโรมัน) ที่มีภูเขาไฟเอทนา “Etna” เป็นฉากหลังด้วยตาตัวเอง

ถือเป็น setting ที่อลังการไม่น้อยใช่มั้ยคะ โบราณสถานหลายพันปีก่อนคู่กับภูเขาไฟขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้วยกัน

ตัวเมืองเก่าของตาออร์มินานั้นตั้งอยู่บนหน้าผาสูง และเคยเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ยุคกรีกปกครองเกาะซิซิลี ก่อนที่จะมาเป็นจุดพักใจของนักประพันธ์ที่มีชื่อในหลายศตวรรษต่อมา ไม่ว่าจะเป็น Goethe, Nietzsche, Oscar Wilde, D.H. Lawrence หรือ Truman Capote

นอกจากความน่าสนใจในทางโบราณคดีและวัฒนธรรมแล้ว ชายหาดของตาออร์มิน่าก็สวยงามตามขนบทะเลอิตาลีใต้ไม่ผิดกัน

ใครอยากเดินเล่นริมหาดน้ำใสก็แค่ลงไปที่ชายหาดข้างล่างหรือจะข้ามไปที่เกาะเล็กๆ ชื่อสวยๆ ว่า Isola Bella ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าหาดก็ได้เช่นกัน

Credit: iStockPhoto/JannHuizenga 

Etna

กล่าวถึงซิซิลีก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เอ่ยถึง “เอทนา”

เอทนาเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีความสูงถึง 3,326 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดเมสซินาและกาตาเนีย และเป็นที่อยู่ของสัตว์ประหลาดร่างงูชื่อ Typhon ที่ถูกเทพเจ้า Zeus ฝังเอาไว้ใต้ภูเขาตามตำนานของเทพปกรนัมกรีก

เอทนาถือเป็นภูเขาไฟนักกิจกรรมตัวยง เพราะมักมีการประทุให้คนรอบข้างผวาอยู่เป็นประจำ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นดินแดนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของแถบนี้ด้วย

นักท่องเที่ยวสามารถไปเล่นสกีที่ Piano Provenzana หรือ Nicolosi หรือนั่งรถไฟสายที่วิ่งรอบๆ ภูเขาที่ชื่อว่า Ferrovia Circumetnea ที่ตอนนี้กำลังโปรโมทเส้นทางชิมไวน์ตามไร่องุ่นรอบๆ เอทน่าที่ผลิตองุ่นชั้นดีจากดินแร่ธาตุภูเขาไฟ

ใครชอบเสียเหงื่อและความตื่นเต้น ขอแนะนำให้ลองปีนขึ้นไปชมปากปล่องภูเขาไฟดูสักครั้ง หลายๆ เอเจนซี่มีทัวร์แบบ one day trip ไว้บริการพร้อมแล้ว

Credit: iStockPhoto/BreatheFitness

Catania

เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของแคว้นและเป็นคู่แข่งขับเคี่ยวด้านความเจริญกันมาตลอดกับเมืองปาแลร์โม

“กาตาเนีย” ตั้งอยู่ทางที่ตะวันออกของเกาะซิซิลี มีภูเขาไฟเอทนาตั้งสูงเด่นค้ำเมืองอยู่ และก็เป็นเอทนาอีกเช่นกันที่คอยปล่อยความเกรี้ยวกราดออกมาทำลายเมืองเป็นระยะ

แต่ก็ไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสเท่ากับแผ่นดินไหว 7.4 ริกเตอร์ที่ทำลายกาตาเนียทั้งเมืองไปเมื่อปี 1693 แต่ก็ส่งผลให้ที่นี่เป็นแดนสวรรค์ของคนรุ่นหลังที่ชอบวัดวังแบบบาโร้ก เพราะเมืองทั้งเมืองต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในยุคที่ศิลปะสไตล์นี้กำลังรุ่งเรือง

การเดินทอดน่องไปในเขต Centro Storico หรือเขตเมืองเก่าของกาตาเนีย คุณจะได้ชื่นชมความงามของแบบบาโร้กจนเต็มอิ่ม

เริ่มตั้งแต่ Piazza del Duomo ที่มีน้ำพุรูปช้างที่สร้างมาจากตำนานของขุนนางที่มีอำนาจวิเศษชื่อ เอลิโอโดโร ผู้ขี่ช้างเดินทางไปถึงกรุงสแตนติโนเปิล, Cattedrale di Sant’ Agata วิหารนักบุญอกาตาผู้เป็นนักบุญประจำเมืองกาตาเนีย, ชอปปิ้งบนถนนสายยาวถึง 3 กิโลเมตร Via Etnea ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟเอทนา, Teatro Massimo Vincenzo Bellini โรงละครโอ่อ่าที่ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ เบลลินี นักประพันธ์เพลงโอเปร่าชื่อดังของอิตาลีผู้เป็นชาวกาตาเนีย เป็นต้น

Credit: iStockPhoto/bdsklo

Agrigento

จังหวัด “อากริเจนโต” อยู่ทางทิศใต้ของเกาะซิซิลี ในอดีตเคยเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งใน Magna Greca (Magna Graecia) อาณานิคมอันรุ่งเรืองของอาณาจักรกรีกโบราณ

ที่นี่มี Valle dei Templi หรือหุบเขา (แต่จริงๆ เป็นสันเขา) แห่งวิหารที่ยังคงมีโบราณสถานยุคกรีกโบราณเอาไว้ให้เยี่ยมชม วิหารที่ยังเหลืออยู่ในบริเวณนี้มี 7 หลังด้วยกัน แต่ที่ยังคงอยู่ในสภาพดีที่สุดคือคือ Tempio di Giunone ของเทพีเฮร่า และ Tempio di Concordia ของเทพีคอนคอร์เดีย ผู้พิทักษ์ความสมานฉันท์และการสมรส

ใกล้ๆ กับตัวเมืองอากริเจนโต มีเมืองเล็กๆ ชื่อ เรอัลมอนเต ที่มีสถานที่เที่ยวอีกแห่งที่น่าไปเห็นด้วยตาตัวเองอย่างยิ่ง คือ La Scala dei Turchi หน้าผาหินสีขาวลดหลั่นเป็นขั้นบันไดที่เคยเป็นที่ยกพลขึ้นบกของโจรสลัดซาราเซน

Credit: iPhotoStock/luiginifosi

Lampedusa

ยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกมากที่กระจัดกระจายรายล้อมรอบๆ เกาะซิซิลี แต่ละแห่งมีความความงามและประวัติศาสตร์ที่หลากหลายจนต้องไปสำรวจให้หมด

ไม่ว่าจะเป็นหมู่เกาะ Eolie ที่เกิดมาจากภูเขาไฟซึ่งปัจจุบันก็ยังคุกรุ่นอยู่ (เราเคยเขียนถึงเกาะหนึ่งในหมู่เกาะนี้ไปแล้วคือ Stromboli ตามอ่านได้ที่ https://www.facebook.com/ICACThailand/posts/2794033647289360)

หรือเกาะ Pantelleria ที่ผลิตเคเปอร์ (Capers) ที่ดีที่สุดในโลก

แต่เกาะที่เราเลือกมาเป็นตัวแทนในโพสต์นี้คือ “ลัมเปดูซา”

ใครตามข่าวสารบ้านเมืองของอิตาลีบ่อยๆ จะคุ้นกับชื่อลัมเปดูซาเป็นอย่างดี ด้วยตำแหน่งที่ใกล้กับทวีฟแอฟริกามากที่สุด (113 กิโลเมตรจากประเทศตูนิเซีย) ที่นี่จึงเป็นปราการแรกที่ผู้อพยพจากอีกฝั่งทะเลถาโถมกันเข้ามาก่อนที่จะกระจายตัวไปยังพื้นที่อื่นๆ ในอิตาลี

ในแง่ของการท่องเที่ยว ลัมเปดูซา เป็นสวรรค์ของผู้รักทะเลและนักดำน้ำ ที่นี่มี Isola dei Conigli หรือ Rabbit Beach ซึ่งเคยได้รับเลือกเป็นชายหาดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก (โดย TripAdvisor ปี 2013) และเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเลด้วย การจะเที่ยวเกาะลัมเปดูซา (และเกาะส่วนมากในเมดิเตอร์เรเนียน) คือการจ้างหรือขับเรือลัดเลาะไปรอบๆ เกาะ เพื่อสำรวจซอกมุมที่บ่อยครั้งการเดินเท้าเข้าไม่ถึง

Carretto Siciliano

“รถลาก” สีสันสดใสสุดๆ แบบนี้เป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นที่สุดของเกาะซิซิลี และเราก็คิดว่ามันเข้ากันได้ดีมากกับความมีสีสันของดินแดนที่มีความหลากหลายเช่นนี้

ต้นกำเนิดของรถลากแบบซิซิลีนั้นสามารถย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 8 สีเหลืองกับสีแดงถูกนำมาใช้มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นสีของธงสัญลักษณ์ประจำแคว้น (เป็นรูปหัวนางเมดูซ่า มีขายื่นออกมาจากหัวสามขา) มีการแกะสลักไม้เป็นรูปต่างๆ อย่างอ่อนช้อย ภาพที่เขียนตกแต่งบนตัวรถมักเป็นตำนานความเก่งกล้าของเหล่าอัศวินที่เล่าสืบทอดต่อกันมา ถ้านำรถลากนี้ไปเทียมม้า ก็มักจะมีการตกแต่งตัวม้าด้วยพู่ระย้าสีสันให้เข้ากันด้วย

ลวดลายประดับ caretto นั้นมีเอกลักษณ์จนมักมีการเอาไปใช้ออกแบบสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่คนรู้จักมากที่สุดน่าจะเป็นคอลเลคชั่นเสื้อผ้าของแบรนด์ดังอย่าง Dolce & Gabbana ที่มักเอาความเป็นซิซิลีไปใส่ไว้ในผลงานของตัวเองอยู่เสมอ

Credit: iStockPhoto/EnkiPhoto

Cannoli

เข้าสู่หมวดอาหารกันบ้าง ในแง่ของการกินนั้นคนซิซิลีไม่เป็นสองรองใครเลย โดยเฉพาะในเรื่องของหวาน และราชาแห่งของหวานจะเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่เจ้าขนมรูปร่างแท่งๆ แบบนี้

“กันโนลี” ทำมาจากการผสมแป้ง น้ำตาล ไวน์ ไขมันสัตว์เข้าด้วยกัน ในอดีตจะนำแป้งที่ผสมแล้วไปห่อรอบก้านอ้อย (ที่เรียกว่า canne เป็นที่มาของชื่อ cannoli) แล้วนำไปทอด ก็จะได้แป้งรูปทรงกระบอกที่มีรูกลวงตรงกลาง ที่เราจะใช้เติมริคอตต้าชีสผสมน้ำตาลเข้าไป จากนั้นโรยด้วยน้ำตาลทับอีกที บางเจ้าจะเอาช็อคโกแล็ตหรือผลไม้เชื่อมชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปด้วย

ว่ากันว่าต้นกำเนิดของกันโนลีนั้นมาจากสาวๆ ในฮาเร็มของสุลต่านในยุคที่อาหรับปกครองซิซิลีอยากหาอะไรทำแก้เบื่อ เลยเอาสูตรขนมที่มีต้นกำเนิดตั้งแต่ยุคโรมันมาดัดแปลง สันนิษฐานว่าในอดีตเป็นขนมที่ทำออกมาเฉพาะในช่วงเทศกาลคาร์นิวัล แต่ปัจจุบันก็เป็นของโอทอปประจำแคว้นที่หากินได้ทุกที่ทุกเวลาไปแล้ว

Credit: iStockPhoto/Tanukiphoto

Arancini

อาหารทานเล่นอีกอย่างที่เป็นของขึ้นชื่อของเกาะซิซิลีก็คือ “อรันชินี” ซึ่งเป็นข้าวใน ragu’ หรือซอสเนื้อกับมะเขือเทศ ผสมกับชีสมอสซาเรลลาหรือคาโชคาวัลโลและถั่วลันเตา เอามาคลุกเกล็ดขนมปังแล้วลงทอดในน้ำมันทั้งก้อน สูตรนี้เรียกว่า “Arancini al ragu’” ซึ่งเป็นสูตรต้นตำรับ แต่ก็มีเหมือนกันที่ทำเป็น “Arancini al burro” คือเปลี่ยนไส้เป็นแฮมและชีสมอสซาเรลลาหรือเบชาเมลลาแทน

ถ้าไปทานที่ฝั่งตะวันออกของเกาะ อรันชินี จะมีรูปทรงเป็นโคนแหลมตามภาพ เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปทรงของภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ในฝั่งนี้ ส่วนฝั่งตะวันตกจะทำเป็นก้อนกลมๆ แทน

Credit: iStockPhoto/Karisssa

Pasta alla Norma

ปิดท้ายกันด้วยจานพาสต้าที่เป็นเมนูชื่อดังจากเมืองกาตาเนีย อย่างที่เล่าไปแล้วว่า กาตาเนีย นั้นเป็นบ้านเกิดของ วินเชนโซ เบลลินี ที่เป็นนักประพันธ์เพลงโอเปราชื่อดัง จานนี้ก็เลยตั้งชื่อว่า Norma ตามชื่อของผลงานชิ้นเอกของเบลลินีนั่นเอง

Pasta alla Norma ตามสูตรดั้งเดิมจะต้องใช้เส้น มัคเกโรนี (หรือมักกะโรนี) ซอสจะทำจากมะเขือเทศ มะเขือยาวม่วงที่ทอดแล้ว โรยด้วยชีสริคอตตาแบบเค็มและใบเบซิล

Leave a Comment

พิ้นที่สำหรับคนรักอิตาลี!