:::Italy by Region:::TOSCANA

เมื่อนึกถึงแคว้น “ตอสกานา” หรือ “ทัสกานี” ของอิตาลีคุณจะนึกถึงอะไร

ถนนสายชนบทที่ทอดยาวไปในทิวเขาลูกเล็กๆ สุดลูกหูลูกตา

ไวน์ชั้นเยี่ยมแกล้มสเต็กฟิออเรนตินาชิ้นใหญ่

หรือจะเป็นความร่ำรวยทางศิลปะในฐานะเป็น “ต้นกำเนิดของยุคเรอเนสซองส์”

การจะเขียนถึงทัสกานีให้จบในบทความเดียวเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะแค่ capoluogo เมืองหลวงประจำแคว้นอย่าง “ฟิเรนเซ” เมืองเดียวก็มีประวัติศาสตร์และความสำคัญโดดเด่นมากจนบรรยายไม่หมดแล้ว จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรมที่ทำให้อิตาลีเป็นที่รู้จักในเวทีโลกในฐานะ “ดินแดนแห่งศิลปิน” ก็มีที่มาหรือเกี่ยวพันกับแคว้นนี้แทบทั้งนั้น ยังไม่นับบทบาททางการเมืองที่สำคัญเมื่อสมัยที่ถูกปกครองด้วยตระกูลเมดิชี หรือคุณูปการในฐานะแหล่งกำเนิดของภาษาอิตาลีพื้นฐานในปัจจุบันนั่นอีก

ว่าแล้วก็อย่าเสียเวลาเลยค่ะ รินไวน์ Chianti ให้พร้อม แล้วมารู้จักหรือรำลึกถึงทัสกานีไปพร้อมๆ กันเลย!

Firenze

Credit: iStockPhoto/baratroli 

คงไม่เกินจริงนักหากจะบอกว่า “ฟิเรนเซ” (ฟลอเรนซ์) นั้นถือศูนย์กลางแห่งศิลปะที่แท้ทรูของอิตาลี เพราะตัวเป้งๆ ของวงการสายอาร์ต ไล่มาตั้งแต่ มิเกลันเจโล บอตติเชลลี เลโอนาร์โด ดาวินชี จิออตโต ไม่เกิดที่นี่ก็ต้องเคยมากินมาอาศัยใช้ชีวิตอยู่ในฟิเรนเซทั้งนั้น นี่ยังไม่รวมคนดังสายอื่นๆ อย่างดันเต้ บอกกาชชิโอ กาลิเลโอ และอีกมากมายนับไม่ถ้วน

อะไรคือเหตุผลที่ ยุคเรอเนสซองส์ หรือ สมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยา ต้องมามีต้นกำเนิดที่ฟิเรนเซ? ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจคือปัจจัยสำคัญ สงครามครูเสดในยุคกลางช่วยเปิดเส้นทางการค้าทางทะเลไปยังฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ทำให้สาธารณรัฐที่เป็นเมืองท่าของอิตาลี (Repubblica Marinara) ไม่ว่าจะเป็น เวนิส เจโนอา และ ปิซา ต่างได้รับอานิสงค์กันทั่วหน้า จนดินแดนแถบตอนเหนือของอิตาลีกลายเป็นรัฐที่ร่ำรวยที่สุดในยุคนั้น

การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันออกนอกจากทำให้คู่แข่งทางการค้าลดลง ยังเป็นการหอบเอาความรู้ศิลปวิทยาการตั้งแต่ยุคกรีกกลับคืนมาจนกระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าต่อยอดกันอย่างคึกคัก ฟิเรนเซเองมีรายได้สำคัญจากการส่งออกขนสัตว์ ทั้งยังมีตระกูลขุนนางอย่างพวกเมดิชีคอยเป็นสปอนเซอร์เหล่านักปราชญ์และศิลปินทั้งหลาย ที่นี่จึงกลายเป็นเมืองที่ศิลปะงอกงามเป็นพิเศษ

ใครที่รักงานศิลปะและชอบเดินมิวเซียมควรจะมาใช้ชีวิตที่นี่ไปเลย เพราะนับๆ ดูแล้วที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ถึง 64 แห่งให้เดินกันจนเป็นลม (ข้อมูลจาก www.imuseidifirenze.it) หนึ่งในสามของมิวเซียมที่มีคนเยี่ยมชมมากที่สุดในอิตาลี 15 แห่ง ก็อยู่ที่ฟิเรนเซนี่ด้วย หลักๆ ที่เรารู้จักกันดีคือ

Galleria degli Uffizi – พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซีเป็นบ้านของภาพเขียนชื่อดัง อย่าง Primavera และ Birth of Venus ของ บอตติเชลลีม, The Annuciation ของดาวินชี, Venus of Urbino ของติเซียโนและ Medusa ของการาวัจโจ เป็นต้น ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความโอฬารจนต้องเผื่อเวลาทั้งวันถ้าอยากซึมซับให้เต็มที่ ส่วนในฤดูท่องเที่ยวก็คิวยาวมากด้วยแต่ก็ไม่อยากให้ถอดใจ เพราะถ้าไม่ได้เข้าไปชมจะเสียเที่ยวที่สุด
Galleria dell’ Accademia – ที่ตั้งของรูปปั้น “เดวิด” ตัวจริง เดิมทีประติมากรรมเอกของมิเกลันเจโลชิ้นนี้เคยตั้งอยู่ที่หน้า Palazzo Vecchio (ที่ตอนนี้มีของที่ทำเลียนแบบตั้งอยู่) แต่ต่อมาในปี 1872 มีมติให้ย้ายคุณเดวิดไปอยู่ในสถานที่มิดชิดกว่านี้ เพราะตัวหินอ่อนที่นำมาใช้แกะสลักก็มีความเปราะบางอยู่แล้ว แถมบางครั้งมีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้น ทำให้รูปปั้นอันเลอค่าที่วางอยู่ในที่แจ้งสุ่มเสี่ยงขึ้นไปอีก ทางเมืองจึงสั่งให้สร้าง Galleria dell’ Accademia เป็นบ้านใหม่ของเดวิดโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นใครอยากดูเดวิดตัวจริงเสียงจริงก็ต้องไปต่อแถวนะจ๊ะ
Palazzo Pitti – วังเก่าของตระกูลเมดิชีที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำอาร์โน ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ย่อยหลายๆ ส่วนรวมกันในที่เดียว ทั้ง Galleria Palatina ที่เด่นเรื่องภาพเขียนของรัฟฟาเอลโล และ ติเซียโน, พิพิธภัณฑ์แฟชั่นและเครื่องแต่งกาย, พิพิธภัณฑ์เครื่องกระเบื้อง, พิพิธภัณฑ์รถม้า เป็นต้น ห้องพักต่างๆ ในตัวอาคารก็สามารถเข้าชมได้บางส่วนสำหรับใครที่ชื่นชอบการตกแต่งหรูหราแบบในรั้วในวัง แต่ที่เราไม่อยากให้พลาดเลยคือ Giardino dei Boboli สวนสวยที่ตั้งอยู่ด้านหลัง เพราะรื่นรมย์และก็ใหญ่มากๆ เตรียมรองเท้าเหมาะๆ ไปด้วยนะ

ด้านโบสถ์สวยงามนั้น มี Duomo หรือ Cattedrale di Santa Maria del Fiore เป็นนางเอก เพราะโดดเด่นเป็นสง่าด้วยโดมหลังคาแดงของ บรูเนลเลสกี ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองฟลอเรนซ์และยังเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของยุโรปด้วย วิหาร Basilica di Santa Croce ก็ควรค่าแก่การเยี่ยมชมเพราะเป็นที่ฝังศพของคนดังมากมาย เช่น มักกิอาเวลลี (บิดาแห่งรัฐศาสตร์สมัยใหม่ ผู้ประพันธ์เรื่อง Il Principe), กาลิเลโอ และ มิเกลันเจโล

ชมงานศิลปะจนละลานตาแล้ว อย่าลืมปิดทริปให้สวยงามด้วยการไปชมวิวฟิเรนเซแบบเต็มตาที่ Piazzale Michelangelo กันด้วยนะคะ

L’Arno

Credit: iStockPhoto/franckreporter 


เล่าถึงทัสกานีก็ควรพูดถึงแม่น้ำอาร์โนด้วย เพราะเป็นแม่น้ำสายสำคัญของแคว้น อาร์โนมีต้นกำเนิดมาจากภูเขาฟัลเตโรนา ที่อยู่ในเทือกเขาอับเปนนินิตอนกลาง ไหลเรื่อยมาทางทิศตะวันตก ผ่านเมืองหลักอย่าง ฟิเรนเซ เอมโปลี ก่อนจะไปบรรจบกับทะเลติร์เรโน ที่ปากแม่น้ำเมืองปิซา

ใครที่เคยไปฟิเรนเซจะรู้จักอาร์โนดีเพราะเป็นแม่น้ำที่ผ่าเมือง หากมาจากฝั่งสถานีรถไฟซานตา มาเรีย โนเวลลา เดินเลาะมาจนเจอดูโอโมแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ผ่านน้ำพุหมูป่าแยกเขี้ยว ก็จะเจอกับสะพานข้ามแม่น้ำอาร์โนที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็คือ ปอนเต เวคกิโอ (Ponte Vecchio)

ตัวสะพานนั้นเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโรมัน และก็ถูกแม่น้ำอาร์โนพัดท่วมทำลายหลายครั้ง (ฟิเรนเซเจอน้ำท่วมบ่อยๆ ล่าสุดคือเมื่อปี 1966 นี่เอง) ร้านค้าที่ตั้งอยู่บนสะพานเดิมเคยเป็นร้านขายเนื้อและร้านฟอกหนัง ต่อมาในปี 1565 คอซิโม เด เมดิชี ที่หนึ่ง สั่งให้ จอร์โจ วาซาริ ศิลปินสถาปนิกออกแบบทางเดินขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็ให้ช่างเพชรช่างทองมาอยู่บนร้านค้าที่บนสะพานแทน นัยว่าเพื่อความเป็นเกียรติเป็นศรีแก่สะพานอันเป็นทางเชื่อมระหว่างฝั่งเมืองไปยังปาลาซโซ ปิตติพระราชวังประจำตระกูล ร้านเพชรร้านทองทั้งหลายเลยยังเปิดกิจการอยู่บนปอนเต เวคกิโอ จนถึงวันนี้

Pisa

Credit: Martin Parr 


ใครๆ ที่มาเมืองปิซา ก็คงอยากมาดูให้เห็นกับตาแหละว่าหอเอนปิซามันเอนจริงมั้ย เอนไปถึงไหนแล้ว ความเอนนี้เกิดมาจากการทรุดตัวของดินที่ฐาน ซึ่งก็ทรุดมาตั้งแต่เริ่มสร้าง ก็เลยสร้างไปแก้ไปจนกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปสองศตวรรษ เราคนรุ่นหลังเลยได้มีโอกาสเห็นกับตาถึงความมหัศจรรย์อันนี้

หอเอนปิซาจริงๆ แล้วเป็นหอระฆัง ของวิหาร Cattedrale di Santa Maria Assunta หรือดูโอโมเมืองปิซา ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เรียกรวมๆ ว่า Piazza dei Miracoli ที่แปลว่า จัตุรัสแห่งปาฏิหาริย์ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า ปิซา ในอดีตเคยเป็นสาธารณรัฐทางทะเลอันยิ่งใหญ่ร่ำรวย วิหารนี้ก็เริ่มสร้างในปี 1063 ซึ่งเป็นปีที่กองทัพเรือของปิซาไปตีเมืองปาแลร์โมซึ่งถูกปกครองโดยอาหรับจนแตกพอดี ศิลปะที่นำมาออกแบบอาคารบนจัตุรัสนี้จึงมีความผสมผสานทั้งแบบคลาสสิก แบบลอมบาร์โด-เอมีเลีย และมีความเป็นไบแซนไทน์เข้ามาแจมด้วย ถือเป็นการประกาศถึงความอินเตอร์แนชั่นแนลของสาธารณรัฐปิซาในยุคนั้น

นอกจากหอเอนและดูโอโม ปิซายังมีอะไรให้ชมให้ค้นหาอีกเยอะ ทั้ง Campo Santo Monumentale ที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์เพราะสร้างด้วยดินที่ทหารครูเสดนำมาจากภูเขาโกละโกธา ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม หรือจะเดินเล่นริมแม่น้ำอาร์โน เดินชอปปิ้งในย่านเก่า Borgo stretto อย่าลืมแวะ Piazza dei Cavalieri จัตุรัสอัศวินที่เป็นหน้าเป็นตาของเมือง ใครชอบศิลปะสมัยใหม่ ที่เมืองปิซามีภาพ Tutto Mondo ของศิลปินระดับโลก คีธ แฮร์ริ่งบนผนังขนาดใหญ่ให้ชมด้วย

รูปประกอบ มาจากภาพถ่ายชื่อดังของ มาร์ติน พาร์ ช่างภาพชาวอังกฤษ ที่เก็บภาพหอเอนปิซามาแบบจิกกัดได้น่ารักโดนใจที่สุด

Siena

Credit: iStock/Photogillio 


เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่อง ปาลิโอ (Palio) หรือการแข่งม้าในจัตุรัสกลางเมืองที่ชื่อ Piazza del Campo แต่ละปีจะมีการจัดสองครั้งคือวันที่ 2 กรกฎาและ 16 สิงหา ถือเป็นอีเวนต์ที่คนทั้งเมืองทุ่มเทที่สุดและดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากๆ ทุกครั้ง การจัดแข่งม้าปาลิโอมีมาตั้งแต่ยุคกลาง โดยผู้เข้าร่วมแข่งขันคือตัวแทนจากย่านต่างๆ ในเมืองเซียนา (Contrade di Siena) ทั้ง 17 ย่านแต่เลือกมาแค่ 10 คน แข่งกันขี่ม้าวนรอบจัตุรัส 3 รอบแบบห้ามไม่ให้ใส่อานม้า ความมันส์ของการเชียร์น่าจะอยู่ที่จะได้ลุ้นว่าจ็อกกี้คนไหนจะตกจากหลังม้าก่อน จนเป็นเรื่องธรรมดาที่การแข่งแต่ละครั้ง ม้าแต่ละตัววิ่งเข้าเส้นชัยแบบไม่มีคนขี่ก็มี

แลนด์มาร์กที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเซียนาคือ Duomo di Siena หรือ Cattedrale di Santa Maria Assunta สร้างด้วยศิลปะแบบโรมาเนสก์และโกธิค ความเด่นของวิหารแห่งนี้คือกำแพงลายขวางสร้างจากหินอ่อนสีขาวสลับกับหินอ่อนสีเขียวเข้มจากปราโต ภายในมี La libreria Piccolomini ที่มีภาพเฟรสโกสวยงามฝีมือ ปินตุริกคิโอและลูกศิษย์ ส่วนภาพวาดบนหลังคานั้นก็งดงามไม่แพ้กัน ห้องนี้เป็นห้องสมุดที่สร้างโดยพระสันตปาปาปิโอที่ 3

San Gimignano

Credit: iStockPhoto/mammuth 


ห่างออกไปจากตัวเมืองเซียนาแค่ 40 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเมืองเล็กๆ ที่มีชื่อว่า “ซาน จิมินญาโน” จุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้คือหอคอยที่ตั้งตระหง่านทั้ง 14 แห่ง ดูแล้วชวนนึกถึงเมืองในตำนานโบราณไม่น้อย

หลักฐานทางประวัติศาสตร์บอกว่าก่อนหน้านี้ที่ซาน จิมินญาโนเคยมีหอคอยมากถึง 72 แห่ง! ในบรรดา 14 แห่งที่ยังเหลืออยู่นั้นมี Torre Rognosa ที่เก่าแก่ที่สุด สร้างในต้นศตวรรษที่ 13 ส่วหอคอยที่สูงที่สุดคือ Torre Grossa มีความสูงที่ 54 เมตร เมืองนี้ได้รับการยกย่องว่ายังอนุรักษ์สภาพตั้งแต่ยุคกลางไว้ได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ เคยเป็นจุดแวะพักของพวกนักแสวงบุญที่จะเดินทางไปยังโรม และโด่งดังเรื่องการผลิตหญ้าฝรั่นหรือแซฟฟรอน

Isola d’ Elba

Credit: iStockPhoto/DiegoFiore 


เกาะเอลบา อยู่ในทะเลติร์เรโน บริเวณช่องแคบระหว่างอิตาลีกับเกาะคอร์ซิกาของฝรั่งเศส และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของอิตาลีด้วย (รองจากซิชิเลียและซาร์เดนญา) เอลบามีชื่อเสียงเพราะเคยเป็นที่ลี้ภัยของ นโปเลียน โบนาปาร์ต เป็นเวลา 10 เดือน ปัจจุบันวิลล่าที่นโปเลียนเคยพักกลายเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ในเมืองปอร์โตแฟร์ราโย ซึ่งมีท่าเรือใหญ่และเป็นเมืองที่เจริญที่สุดของเกาะเอลบา

ด้วยความที่เอลบาก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ยุคอีทรัสกัน และเคยถูกครอบครองโดยมหาอำนาจทางทะเลที่รายรอบมาต่อเนื่อง ทำให้ที่นี่มีความน่าสนใจทั้งด้านธรรมชาติและประวัติศาตร์ แต่ละเมืองที่กระจายอยู่ตามชายฝั่งต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และทะเลที่นี่สวยตามขนบเมดิเตอร์เรเนียนไม่แพ้เกาะอื่นๆ ข้างเคียงเลย

Viareggio

Credit: iStockPhoto/leonori 


เมืองตากอากาศริมทะเลที่อยู่ในจังหวัดลุกกา วิอาเรจโจมีชายหาดทอดยาวไปถึง 10 กิโลเมตรบนชายฝั่งทะเลลิกูเร และมีเทือกเขาสูงชื่อ อัลปิ อปูอาเน เป็นฉากหลัง นับเป็นทิวทัศน์ที่ดูยิ่งใหญ่ไม่น้อยสำหรับการพักผ่อนเล่นน้ำทะเล เมืองนี้เคยตกอับเสื่อมโทรมเพราะโรคระบาด แต่เริ่มมีการพัฒนาจนกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวของชาวแคว้นทัสกานีตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ใครดูเมืองเก่ายุคกลางจนเบื่อแล้ว น่าจะมาเปลี่ยนบรรยากาศที่พรอมเมนาดริมทะเลที่วิอาเรจโจ เพราะที่นี่มีตึกสวยเก๋แบบลิเบอร์ตี้สไตล์ให้ดูเต็มไปหมด ของเด่นของดีอีกอย่างของที่นี่ คืองาน carnevale หรือคาร์นิวัล ที่มีการจัดอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี

Cascate del Mulino

Credit: iStockPhoto/Isaac74 


ที่เมือง ซาร์ตูเนีย จังหวัดกรอซเซโต มีน้ำพุร้อนธรรมชาติผสมแร่กำมะถัน อุณหภูมิราวๆ 37 องศา เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวสาธารณะให้คนแช่น้ำได้ตลอดทั้งปี

ดินแดนแถบเมืองซาร์ตูเนียเป็นแหล่งน้ำพุร้อนมาตั้งแต่สมัยโรมัน มีการสร้างจุดพักแช่น้ำร้อนตามถนนยุคโรมัน Via Clodia ที่ทอดผ่านดินแดนแถบนี้

Leave a Comment

พิ้นที่สำหรับคนรักอิตาลี!