Ravenna : La capitale del mosaico

ภารกิจตามเก็บ 5 งานโมเสก UNESCO ในวันเดียวที่ “ราเวนนา” เมืองหลวงแห่งโมเสกของอิตาลี

ย้อนไปเมื่อปี 1996 องค์กรยูเนสโกได้ประกาศให้ “Monumenti paleocristiani di Ravenna” – กลุ่มอาคาร Paleo Christian (ศิลปะแบบคริสเตียนยุคแรก) ในเมืองราเวนนาทั้งหมด 8 หลังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

เมืองราเวนนาซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญานั้นเคยเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรโรมันตะวันตกก่อนที่จะล่มสลาย จากนั้นผู้ปกครองเมืองได้เปลี่ยนมือไปเป็นพวกออสโตรกอทซึ่งเป็นชนเผ่าเชื้อสายเยอรมัน ก่อนที่ จักรพรรดิจัสติเนียนที่หนึ่ง แห่งโรมันตะวันออก(ไบแซนไทน์) จะตีคืนมาได้ในปีค.ศ. 540 และตั้งให้ราเวนนาเป็น Exarchate หรือดินแดนใต้การปกครองของอาณาจักรไบแซนไทน์ไปอีกเกือบสองร้อยปี

อาคารทั้งหมดที่ได้ขึ้นทะเบียนกับยูเนสโกครั้งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลานั้นคือ ระหว่างศตวรรษที่ 5-6

จุดเด่นที่ดึงดูดนักเดินทางจากทุกสารทิศไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกของอาคารที่ดูแสนจะธรรมดา แต่เป็นภาพโมเสกประดับหลังคาโดมและฝาผนังภายในที่ละเอียดระยิบระยับอย่างน่าทึ่ง จนราเวนนาได้รับขนานนามว่าเป็น “La Capitale del mosaico – เมืองหลวงแห่งโมเสก” ของอิตาลีไปอย่างไม่น่าแปลกใจ

มาอิตาลีรอบนี้เรามีภารกิจจะตามเก็บงานโมเสกราเวนนาให้ได้ทั้งหมด 5 ที่ในวันเดียวให้จงได้!

พูดเหมือนเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก แต่จริงๆ คือมันง่ายสุดๆ เลยค่ะเพราะเมืองราเวนนาจัดการเส้นทางท่องเที่ยวไว้ดีมาก แถมเป็นเมืองเล็กๆ เดินง่าย ใช้เวลาไม่นาน มีป้ายบอกทางให้ตลอด เรียกว่าให้ไม่ตั้งใจเดินยังไงก็ยังไม่หลง 555

และสถานที่เที่ยวทั้ง 5 นั้นได้แก่

Basilica di San Vitale

*Mausoleo di Galla Placidia

Basilica di Sant’ Apollinare Nuovo

*Battistero Neoniano

Museo e Cappella Arcivescovile

ตั๋วราคาเต็มอยู่ที่ 12.50 ยูโร โดยราคานี้จะรวม *Mausoleo di Galla Placidia กับ *Battistero Neoniano ที่ต้องจองเวลาเข้าชมไว้ด้วย ที่ต้องจองเพราะสถานที่มีขนาดเล็กและรับคนเข้าไปได้เป็นจำนวนจำกัด (แต่เราจองตอนซื้อก็เลือกเวลาตามเราสะดวกได้เลย ไม่ยุ่งยาก คาดว่าในช่วงเวลาปกติคิวไม่ได้แน่นขนาดนั้น)

ถ้าจะดูแค่อีก 3 ที่ที่ไม่มีเครื่องหมาย * ราคาจะอยู่ที่ 10.50 ยูโร

ทั้งนี้ทั้งนั้น เราขอแนะนำให้ดูให้ครบเถอะ เพราะไฮไลท์อยู่ที่อีกสองที่ที่ต้องจองคิวด้วยจริงๆ

ตั๋วหนึ่งใบสามารถเข้าไปแต่ละที่ได้แค่ครั้งเดียว แต่มีอายุ 7 วัน (ในกรณีที่ไม่อยากดูให้หมดทุกที่ในวันเดียว)

Biglietteria หรือที่ขายตั๋วมีอยู่ 2 ที่คือที่ Basilica di San Vitale และ Museo Arcivescovile หรือจะซื้อออนไลน์ก็ได้ที่ https://www.ravennamosaici.it/

Basilica di San Vitale

บสถ์นี้สร้างขึ้นในปีค.ศ. 526 โดยเหล่าบิชอปของราเวนนา ในยุคสมัยที่ราเวนนาอยู่ใต้การปกครองของออสโตรกอท และต่อมาก็กลายมาเป็นดินแดนของอาณาจักรโรมันตะวันออกโดยการสถาปนาของจักรพรรดิจัสติเนียนที่มาพิชิตราเวนนาจากพวกออสโตรกอทได้สำเร็จ

มุขโค้งตรงกลางเป็นโมเสกรูปพระเยซูขนาบด้วยเทวทูตทั้งสองข้าง ผู้ที่ยืนถัดไปด้านซ้ายสุดคือนักบุญวิตาเล (San Vitale ชื่อเดียวกับโบสถ์) และด้านขวาคือ Bishop Ecclesius ที่เป็นผู้ริเริ่มสร้างโบสถ์ 

โมเสกที่ Basilica di San Vitale ถือเป็นโมเสกยุคไบแซนไทน์ที่ใหญ่ที่สุดและสภาพดีที่สุดที่อยู่นอกกรุงอิสตันบูล

สังเกตได้ว่ากลุ่มอาคารโมเสกมรดกโลกในราเวนนาทั้งหมดมีลักษณะเป็นอย่างนี้ คือการตกแต่งภายนอกดูจะเรียบๆ ง่ายๆ

โมเสกบนเพดานเหนือบริเวณสงฆ์เป็นลวดลายผลหมากรากไม้อันวิจิตรล้อมรอบ “แกะของพระเจ้า” ที่อยู่ในวงกลมตรงกึ่งกลาง มีเทวดา 4 องค์ยกมือค้ำวงกลมนี้เอาไว้ รอบๆ นั้นประดับด้วยพืชพรรณและสัตว์หลากหลายชนิดระยิบระยับจนเต็มพื้นที่เช่นเดียวกัน    

ด้านซ้ายมือของมุขโค้งเป็นโมเสกรูปจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 ยืนอยู่กับข้าราชบริพาร นายพลและพระสงฆ์ ภาพนี้ต้องการสื่อว่าจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออกนั้นเป็นผู้นำทั้งในทางโลกและทางธรรม

ส่วนด้านขวามือเป็นโมเสกรูปพระนางธีโอดอรา พระชายา ยืนอยู่กับเหล่านางสนมและขันที

Mausoleo di Galla Placidia

อาคารขนาดเล็กกะทัดรัดที่สร้างเป็นรูปไม้กางเขนนี้เป็นสถานที่เก็บพระศพของ กัลลา พลาซิเดีย ลูกสาวของจักรพรรดิโรมันที่ชื่อเธโอดอซิอุสที่ 1

ในบั้นปลายชีวิตพระนางเคยว่าราชการอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่อยู่ถึง 12 ปี (ระหว่างที่ลูกชาย วาเลนติเนียนที่ 3 ยังเล็ก)  และเป็นคริสตศาสนิกชนที่เคร่งครัดผู้สร้างโบสถ์วิหารในเมืองราเวนนามากมาย


อาคารนี้น่าจะถูกสร้างระหว่างค.ศ. 425-450 ภายในมี “sarcophagus” หรือโลงหินที่ใช้กันในสมัยอียิปต์ กรีกและโรมันโบราณตั้งอยู่ 3 โลง ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือในสามโลงนี้ไม่มีพระศพของกัลลา พลาซิเดียอยู่เลย เพราะจริงๆ พระนางเสียชีวิตและถูกฝังอยู่ที่กรุงโรม สาเหตุของความเข้าใจผิดนี้น่าจะเกิดจากเอกสารโบราณยุคกลางที่บันทึกไว้ว่านางถูกฝังที่ราเวนนา และถึงแม้จะมีการค้นพบความจริงแล้ว อาคารนี้ก็ยังถูกเรียกว่าเป็นที่ฝังศพของพระนางเรื่อยมา

ในภาพนี้ นักท่องเที่ยวกำลังชื่นชมโมเสกเหนือเพดานตรงทางเข้าที่มีชื่อว่า “Garden of Eden”  ด้านบนเป็น lunette ซึ่งเป็นโค้งครึ่งวงกลมเหนือประตูหรือหน้าต่างชื่อว่า “The Good Sheperd” ที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระเยซู

โมเสกบริเวณที่เป็นโดมของอาคารทำเป็นรูปดวงดาวที่รายล้อมไม้กางเขน lunette ทั้งสี่ด้านจะมีสานุศิษย์ยืนอยู่ด้านละ 2 คน โดยมีรูปนกพิราบน้อยจิบน้ำในอ่างที่กลายเป็นจุดขายที่พบทั่วไปในของที่ระลึกต่างๆ

นกพิราบนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนพระจิตในศาสนาคริสต์

Basilica di Sant’ Apollinare Nuovo

วิหารนี้สร้างในปี ค.ศ. 504 โดยกษัตริย์ธีโอดอริคมหาราช ซึ่งเป็นชาวออสโตรกอทผู้นับถือคริสตศาสนาลัทธิเอเรียส  ต่อมาเมื่อจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งอาณาจักรไบแซนไทน์เข้ามาเทคโอเวอร์ ก็เลยจัดการอุทิศโบสถ์ให้นักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์ที่เป็นศัตรูกับลัทธิเอเรียสไปซะเลย

Processed with VSCO with c2 preset

กำแพงประดับโมเสกที่ทอดยาวไปจนถึงมุขโค้งกลางวิหารมีลักษณะคล้ายกัน แถวบนเป็นภาพเหล่านักบุญ ประกาศกและผู้เผยแผ่ศาสนา ยืนเรียงกันโดยมีหน้าต่างขั้นกลาง แต่ละฝั่งนับได้ 16 คน

ถัดลงมาอีกแถว ฝั่งหนึ่งเป็นขบวนของเหล่าหญิงบริสุทธิ์ 22 คนกำลังอัญเชิญของขวัญไปมอบให้แก่พระแม่มารีและพระบุตร (ตามในภาพ) อีกฝั่งเป็นขบวนผู้พลีชีพ 26 คนกำลังเดินทางไปสักการะพระเยซู

มีเรื่องเล่าว่าในสมัยของพระสันตปาปาเกริโอมหาราช (ค.ศ. 540-604)  มีการสั่งให้ถมโมเสกในโบสถ์เป็นสีดำ เพราะความทองระยิบระยับนั้นไปทำให้ผู้มีศรัทธาถึงกับวอกแวกไปเลยทีเดียว

Battistero Neoniano

หรืออีกชื่อว่า Battistero degli Ortodossi (หอศีลจุ่มของนิกายออร์โธดอกซ์) เป็นหอสำหรับประกอบพิธีศีลจุ่ม สร้างโดยบิชอปชื่ออูร์ซัสแต่มาเสร็จสิ้นในสมัยบิชอปนีออน เมื่อราวๆ ต้นศตวรรษที่ 5

หอนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิหารที่ถูกทำลายไปแล้วเมื่อสมัยศตวรรษที่ 18 ตัวอาคารเป็นรูป 8 เหลี่ยมตามแบบอย่างของหอศีลจุ่มที่นิยมสร้างกันในยุคแรกๆ โดยเลข 8 นั้นหมายถึง 7 วันในหนึ่งสัปดาห์บวกกับวันที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ชีพ

โมเสกรูปวงกลมสวยงานอลังการที่อยู่ใต้โดมถูกแบ่งเป็น 3 ชั้น

ชั้นในสุดคือ ภาพนักบุญจอห์น แบ็บติสต์กำลังประกอบพิธีศีลจุ่มให้กับพระเยซูที่แม่น้ำจอร์แดน เหนือศีรษะของพระองค์มีนกพิราบที่เป็นสัญลักษณ์ของพระจิตอยู่เช่นกัน

วงกลมชั้นที่สองเป็นภาพของอัครสาวกทั้ง 12 บนพื้นหลังสีน้ำเงิน แต่ละคนถือมงกุฏที่เตรียมไว้มอบให้พระคริสต์

วงรอบนอกเป็นการจำลองให้เหมือนเป็นห้องที่มีการหลอกตาด้วยเส้นโค้งเส้นเว้าให้ดูมีมิติ ซึ่งพบได้บ่อยในศิลปะยุคโรมัน เช่น ในภาพวาดเฟรสโกที่เมืองปอมเปอี

Museo e Cappella Arcivescovile

จุดสุดท้ายที่เราไปชมโมเสกอยู่ติดกันกับหอศีลจุ่ม ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์อาร์คบิชอปด้วย โมเสกที่โดดเด่นจริงๆ ของอาคารนี้จะอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ชื่อว่า Cappella di Sant’ Andrea หรือโบสถ์น้อยของนักบุญอันเดรอา ซึ่งเคยเป็นห้องสวดมนต์ส่วนตัวของบิชอป

หมู่นกนับร้อยบนเพดานทางเดินในโบสถ์น้อย เหมือนจะแสดงออกถึงความอุดมสมบูรณ์ที่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง

หน้าตาของตั๋วเข้าชมที่ต้องเก็บไว้ให้ดี เพราะจะมีการตรวจตั๋วทุกจุด

ตามมุมต่างๆ ในเมืองราเวนนาจะตกแต่งด้วยภาพโมเสกอันเล็กๆ สมกับเป็นเมืองหลวงแห่งโมเสกของอิตาลี

Leave a Comment

พิ้นที่สำหรับคนรักอิตาลี!